Print
Hits: 16278

วันหนึ่งป๋องแป๋งเริ่มสำรวจตัวเอง แล้วเขาก็เห็น “จู๋”
ป๋องแป๋งสงสัยว่ามันมีไว้ทำไมกันนะ

ป๋องแป๋ง อยากรู้

ชุด สร้างสุขนิสัยวัยเยาว์

เขียน สองขา

สำนักพิมพ์ พาส เอ็ดดูเคชั่น

................................................................

เรื่องย่อ สั๊น สั้น

วันหนึ่งป๋องแป๋งเริ่มสำรวจตัวเอง แล้วเขาก็เห็น “จู๋” ป๋องแป๋งสงสัยว่ามันมีไว้ทำไมกันนะ
เขาจึงไปถามพ่อ พ่อก็ตอบทันใดว่า เอาไว้ฉี่ไง แต่ป๋องแป๋งก็ยังไม่หายสงสัย เขาก็ยังคงคิดต่อไปอีก

................................................................

 

เรื่องนี้ถือว่าเป็นมิติใหม่ของหนังสือภาพสำหรับเด็กของไทย การทำให้เด็กเข้าใจเกี่ยวกับเพศของตน และอวัยวะเพศ
ตามทฤษฎีเกี่ยวกับบุคลิกภาพของซิกมันต์ ฟรอยด์ กล่าวว่าเด็กในวัย 3-5 ปี จะเริ่มเรียนรู้จากอวัยวะเพศ อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ
เด็กเริ่มเข้าใจและแบ่งแยกเพศได้ เกิดการสร้างอัตลักษณ์เกี่ยวกับเรื่องเพศ การเข้าใจเกี่ยวกับหญิงชาย ซึ่งการที่เขาจะเข้าใจได้นั้น
บางครั้งในต่างประเทศจะใช้หนังสือเป็นตัวช่วยในการสอนเรื่องเพศกับเด็ก ๆ และมีการสอนเพิ่มมากขึ้นตามช่วงวัย

 

เคยไหมคะ ที่เวลาเราปวดท้องหรือป่วยเป็นอะไรสักอย่าง ต้องเริ่มไปค้นอาการจากในอินเตอร์เน็ต?

หลักการของหนังสือเรื่องเพศก็เป็นหลักการเดียวกันค่ะ ในเด็กและวัยรุ่นจะใช้หนังสือในการอธิบายสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ
กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นบนร่างกายเขา เขาจะเริ่มสนใจเกี่ยวกับหน้าตา รูปลักษณ์ของตนเองมากขึ้น หนังสือจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยอธิบายเรื่องต่าง ๆ 
เพื่อศึกษาให้เข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของตน เพื่อให้เด็กเข้าใจเกี่ยวกับเพศ พัฒนาการเรื่องเพศ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น หรือบางเล่มอธิบายเกี่ยวกับ
การป้องกันตัวหรือการละเมิดทางเพศ เป็นต้น แม้กระทั่งในเด็กเล็กเอง การที่ทำให้เด็กเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันตัวจากการละเมิดทางเพศก็เป็นสิ่งสำคัญค่ะ
การอธิบายก็จะละมุ่มละม่อมแลเข้าใจง่าย เพื่อให้เด็กเข้าใจว่าเรื่องเพศนั้นเป็นเรื่องสำคัญ 

ในตอนต้นพี่ดรุณบอกว่าหนังสือเรื่องป๋องแป๋งอยากรู้ ถือเป็นมิติใหม่สำหรับหนังสือเด็ก
เพราะไม่มีหนังสือเด็กในไทยที่จะหยิบประเด็นนี้มาใช้อย่างตรงไปตรงมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเลยทีเดียวค่ะ

 

................................................................

 

 

การเริ่มต้นด้วยความสนใจเกี่ยวกับตนเองของป๋องแป๋ง การที่เขาตามหาความหมายของสิ่งที่สงสัย และคำอธิบายของพ่อ
อธิบายอย่างไม่อิดออดว่าเอาไว้ “ฉี่” ก็ตาม สิ่งเหล่านี้แสดงถึงการเปิดกว้างทางความคิด

 

ข้อดีของการคอยตอบคำถามแก่ลูก ๆ ก็คือ เด็กจะกระตือรือร้นที่จะคิด ที่จะสงสัยค่ะ และนำไปสู่การใฝ่ความรู้ในอนาคต

ถึงกระนั้นหนังสือเล่มนี้กลับทิ้งประเด็นคำถามไว้หลายประการ ทั้งเรื่องของการเติบโตของจู่ที่ทิ้งประเด็นให้ค้างคาใจ
เพราะคั่นด้วยการตัดบทถึงความสำคัญ และต่อท้ายถึงการเติบโตที่จะเป็นไปตามวัย ส่งผลไปสู่การลำดับเรื่องราวและความเข้าใจของเด็ก

 

 

อีกประเด็นคือเรื่องของการที่ป๋องแป๋งอยากรู้ว่าอ้อมมีเหมือนกันไหม จึงไปเปิดกระโปรงของอ้อม
ในภาพจะเห็นได้ชัดเจนว่าอ้อมนั้นโกรธ และป๋องแป๋งยิ้มเพราะสบายใจที่ได้รู้ว่าแตกต่าง ที่ตอนจบป๋องแป๋งไม่ได้เรียนรู้ที่จะขอโทษ
เกี่ยวกับเรื่องเปิดกระโปรงของอ้อม ซึ่งสิ่งนี้พี่ดรุณรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้พลาดไป การใส่ใจถึงความรู้สึกของคนอื่น
และรับผิดชอบผลการกระทำไปที่ละเมิดคนอื่นเช่นกัน ทำให้สองประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ค้างคาและตกค้างจากหนังสือเล่มนี้ ที่ต้องการให้ผู้ใหญ่อธิบายเพิ่ม   

 

................................................................

 

พี่ดรุณเชื่อว่า “การอยากรู้นั้นย่อมไม่ผิด แต่เราก็ควรคิดถึงความรู้สึกที่เราไปทำต่อคนอื่นรู้สึกไม่ดีด้วยค่ะ”

ในส่วนด้านหลังเล่ม ทางสำนักพิมพ์ก็ให้ความรู้เกี่ยวกับจู๋ไว้ดีมากค่ะ
ซึ่งจะกลายเป็นแนวทางให้กับคุณพ่อคุณแม่เวลาอธิบายเรื่องเพศของเด็กผู้ชายและการละเมิดเด็กนะคะ